เราเพิ่งจะได้ยินข่าวการเปิดตัว ไอคอนสยาม กันไปไม่นานเป็นที่ฮือฮากันมาก แต่รู้หรือไม่ว่า ยังมีโครงการอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทยที่ใหญ่กว่า ไอคอนสยาม และอยู่ระหว่างก่อสร้างนั่นคือโครงการอสังหาริมทรัพย์แบบ Mixed Use ชื่อ “One Bangkok” อีกหนึ่งแลนมาร์คของประเทศไทย ด้วยมูลค่าโครงการสูงถึง 120,000 ล้านบาท ขณะที่ไอคอนสยามมูลค่าโครงการ 54,000 ล้านบาท
และบริษัทที่ทำหน้าที่ในการ "บริหารและควบคุมงานก่อสร้าง" ในอภิมหาโปรเจ็กต์ “One Bangkok” คือ “บมจ.สโตนเฮ้นจ์ อินเตอร์” หรือ STI ว่าที่น้องใหม่ในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ ซึ่งคาดว่าจะเข้าซื้อขายได้ต้นเดือนธันวาคมนี้
สำนักข่าวอีไฟแนนซ์ไทย จะพาไปทำความรู้จักกับ “สโตนเฮ้นจ์ อินเตอร์” พูดคุยกับ คุณสมเกียรติ ศิลวัฒนาวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ถึงภาพรวมของธุรกิจ และอนาคตบริษัทหลังจากระดมทุนขาย IPO ไปฟังวิสัยทัศน์ของผู้บริหารกันแบบคำต่อคำ
***ลักษณะธุรกิจของบริษัท
บริษัท สโตนเฮ้นจ์ อินเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ STI ดำเนินธุรกิจทางด้านการ บริหารและควบคุมงานก่อสร้างหมายความว่า เราจะเป็นตัวแทนของเจ้าของโครงการในการเข้ามาช่วยสรรหาผู้ออกแบบ ในการช่วยกำกับการออกแบบ เพื่อให้ได้การออกแบบถูกต้องตามวัตถุประสงค์ของเจ้าของโครงการ ประสานงานทางด้านงานยื่นขออนุญาตก่อสร้าง จนกระทั่งการสรรหาผู้รับเหมา การทำสัญญาก่อสร้างและก็เข้ามาควบคุมการดำเนินงานก่อสร้าง จนกระทั่งงานก่อสร้างแล้วเสร็จในเวลาที่กำหนด ภายใต้งบประมาณที่กำหนดไว้กับทางโครงการอย่างมีคุณภาพ นั่นคือขอบเขตงานของ สโตนเฮนจ์ เป็นหลัก
นอกจากนี้เรายังมี บริษัทที่ดูแลขอบเขตงานทางด้านธุรกิจการออกแบบทั้งทางด้านวิศวกรรมโครงสร้าง สถาปัตยกรรม วิศวกรรมระบบประกอบอาคารและก็งานตกแต่งภายใน
***โครงสร้างรายได้ และกลุ่มลูกค้า
กลุ่มสโตนเฮนจ์อินเตอร์ มีสัดส่วนรายได้จากภาคเอกชนเป็นหลักอยู่ที่ประมาณ 85% และภาครัฐประมาณ 15% และแนวโน้มในอนาคต บริษัทจะขยายสัดส่วนรายได้จากภาครัฐให้สูงมากขึ้น
ลูกค้าของบริษัทจะเป็นบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ และเป็นลูกค้ารายใหญ่ ที่ติด 10 อันดับแรกในอุตสาหกรรมเกือบทั้งหมด เช่น แลนด์แอนด์เฮ้าส์ ,กลุ่มของเอเชี่ยนพร็อพเพอร์ตี้ , อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ , ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ , พฤกษา เรียลเอสเตท,เสนาดีเวลลอปเม้นท์,ชีวาทัย, เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ และอื่นๆ อีกจำนวนมาก
สัดส่วนรายได้แบ่งตามประเภทของโครงการ จะเป็นอาคารคอนโดมิเนียม อาคารสูง อยู่ที่ประมาณ 35-40% ,งานในส่วนของ office building กับ mixed use โปรเจ็กต์อยู่ที่ประมาณ 15-20% และก็จะมีสัดส่วนจากการก่อสร้างโรงพยาบาล สถานพยาบาล อยู่ที่ประมาณ 10% นอกนั้น ก็จะเป็นงานอาคาร Low rise อาคารแนวราบ โรงงาน และอื่นๆ
***ผลประกอบการที่ผ่านมาเป็นอย่างไรบ้าง
รายได้ของกลุ่มบริษัท สโตนเฮ้นจ์ อินเตอร์ ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา มีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยรายได้ที่รับรู้เข้ามาในปี 2560 อยู่ที่ประมาณ 498 ล้านบาท และหากดูช่วง 6 เดือนแรกของปี 60 บริษัทมีรายได้อยู่ที่ 216 ล้านบาท ส่วนงวด 6 เดือนแรกของปีนี้มีรายได้ 277 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อนประมาณ 28.56% เพราะฉะนั้นจึงค่อนข้างมั่นใจว่าผลประกอบการของกลุ่มบริษัทสโตนเฮ้นจ์ในปีนี้และปีหน้า จะเป็นไปตามเป้าหมายแน่นอน
***ปัจจัยที่จะสนับสนุนผลประกอบการ
สาเหตุที่กลุ่มบริษัทสโตนเฮ้นจ์ฯ มั่นใจว่าผลประกอบการจะเป็นไปตามเป้าหมายทั้งปีนี้และปีหน้า เนื่องมาจาก 3 เหตุผลหลัก ได้แก่
ข้อที่ 1 ลูกค้าของบริษัทที่ผ่านมาในรอบ 10 กว่าปี เป็นลูกค้าที่ให้ความไว้วางใจและก็ใช้งานบริษัทมาอย่างต่อเนื่อง และกลุ่มลูกค้ายังติด 10 อันดับแรกของในอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ในไทย ดังนั้น การรับรู้รายได้ที่เกิดขึ้น การทยอยได้งานเข้ามาเพิ่ม จะส่งผลให้บริษัทได้รับความไว้วางใจจากลูกค้าอย่างต่อเนื่อง
ข้อที่ 2 ทีมงานของบริษัท ล้วนทำงานอยู่กับบริษัทมามากกว่า 10 ปีเป็นส่วนใหญ่ทำให้พนักงานมีความเชี่ยวชาญและทำงานอย่างมีทักษะและประสบการณ์ จึงเป็นที่น่าเชื่อถือในวงการอุตสาหกรรมงานก่อสร้าง
ข้อที่ 3 ปัจจุบัน บริษัทฯ มี Backlog อยู่ในมือกว่า 700 ล้านบาท ประกอบกับการขยายตัวของเศรษฐกิจทั้งภาครัฐและภาคเอกชนที่จะเกิดขึ้นในปีหน้า ทำให้มั่นใจว่าบริษัทยังมีช่องทางในการเติบโตอย่างต่อเนื่อง
นอกจากที่กล่าวไปข้างต้นแล้ว บริษัทยังสนใจที่จะขยายขอบเขตการรับงานเข้าไปยังโครงการต่างๆ ในพื้นที่ EEC ทำให้มั่นใจว่าผลประกอบการจะเป็นไปตามเป้าหมายแน่นอน
***กลยุทธ์ในการขยายธุรกิจ
ในแง่ของกลยุทธ์การขยายธุรกิจ คงต้องกลับมาดูที่วิสัยทัศน์ของบริษัท ซึ่งได้กำหนดไว้ว่า “BEST” หรือ B-E-S-T
B = Benefit กล่าวคือ เราคำนึงถึงประโยชน์ต่อสังคม เราคำนึงถึงประโยชน์ ต่อลูกค้า นอกจากนั้น เรายังคำนึงถึงประโยชน์ของทีมงานของเราด้วย ดังนั้น ในการทำงานเราสร้างความสมดุลในการทำงานให้กับทุกฝ่าย ทำให้การทำงานร่วมกันระหว่างเจ้าของโครงการ ระหว่างผู้รับเหมาที่เราเข้าไปดูแล เกิดความไว้วางใจซึ่งกันและกัน และให้ความยอมรับซึ่งกันและกัน ทำให้เกิดการดำเนินงานที่ให้ความร่วมมืออย่างมีประสิทธิภาพ
E= Efficientcy กล่าวคือ พนักงานของเราทำงานด้วยการทำงานอย่างมีประสบการณ์อย่างต่อเนื่อง ทำให้การดำเนินงานของเรามีทักษะ มีประสบการณ์และก็ส่งผลให้การดำเนินงานเป็นไปตามเป้าหมายที่ลูกค้าต้องการ
S = Smart กล่าวคือ เราทำงานด้วยการแชร์ประสบการณ์ร่วมกันระหว่าง เจ้าของโครงการ ทีมงาน ผู้ควบคุมงาน และก็ผู้รับหมาก่อสร้าง เรานำเทคนิค โนฮาวใหม่ๆ เข้ามาใช้งานร่วมกัน ทำให้การทำงานเป็นไปในเชิงสร้างสรรค์ และก่อให้การทำงานที่มีประสิทธิภาพ
T = Trustworthy คือการให้ความไว้วางใจ ทำงานด้วยความซื่อสัตย์ ก่อให้เกิดการไว้วางใจของลูกค้า ซึ่งเป็นเหตุผลหลักที่ทำให้เราได้รับงานอย่างต่อเนื่องจากลูกค้า
***คู่แข่งในตลาด - จุดเด่นของบริษัท
ปัจจุบันมีบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ 2 แห่ง ที่ประกอบธุรกิจการเป็นผู้บริหารและควบคุมงานก่อสร้างเหมือนกับ STI แต่จุดแข็งของบริษัท คือ
(1) เราทำงานในเชิงรุก เน้นการแก้ปัญหา มากกว่าที่จะไปรอให้เกิดปัญหาแล้วไปตามแก้ เพราะฉะนั้นเราจะศึกษาแบบอย่างลึกซึ้ง และก็เข้าลึกถึงแบบ เพื่อค้นหาปัญหา และก็แก้ปัญหาก่อน เพื่อให้การทำงานตรงจุดนี้สามารถที่จะป้องกันปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นล่วงหน้าได้
(2) เราเน้นการลงทุนทางด้านเทคโนโลยี เรามีการพัฒนา อบรมให้กับพนักงานของเราอย่างต่อเนื่อง เรามีการแบ่งหลักสูตร ทั้งในหลักสูตรของผู้จัดการโครงการ หลักสูตรวิศวกรโครงการ หลักสูตรวิศวกรสนาม และหลักสูตรของเรา ต้องเรียนว่า แม้กระทั่งสถาบันการศึกษา ที่ได้มาเห็นหลักสูตรของเราแล้ว อยากจะขอนำหลักสูตรเข้าไป ใช้เป็นวิชาที่สอนให้กับนักศึกษาได้เป็นเทอมเลย และเราอบรมกับพนักงานเราอย่างต่อเนื่องใน 1 หลักสูตร เราอบรมต่อเนื่องประมาณ 2-3 เดือน ไม่ใช่อบรมกันแค่ 6 ชั่วโมง 8 ชั่วโมงแล้วก็เลิก เพราะฉะนั้นพนักงานของเราที่อบรม ค่อนข้างมั่นใจได้ว่าเด็กที่ผ่านการอบรมจากเรามีประสิทธิภาพมาก
***วัตถุประสงค์ของการระดมทุนในครั้งนี้
กลุ่มบริษัทสโตนเฮ้นจ์ อินเตอร์ มีแผนในการระดมทุนโดยออกจำหน่าย หุ้นสามัญจำนวนทั้งสิ้น 68 ล้านหุ้น โดยกลุ่มบริษัทมีหุ้นเดิมอยู่แล้ว 200 ล้านหุ้น เมื่อรวมกับหุ้นเดิมจะมีหุ้นทั้งหมด 268 ล้านหุ้น
บริษัทมีแผนการนำเงินที่ได้จากการระดมทุน เพื่อใช้ในการพัฒนาบริษัท ด้วยเหตุผลที่ว่าเรามีความประสงค์ที่จะต้องการสร้างกลุ่มบริษัทสโตนเฮ้นจ์ อินเตอร์ ให้เป็น “สถาบัน” ในการควบคุมงานก่อสร้าง และนำบริษัทควบคุมงานก่อสร้างนี้ให้ก้าวมาตรฐานสู่ระดับสากล เติบโตได้อย่างยั่งยืน โดยไม่ยึดติดที่ตัวบุคคล
ดังนั้นจะนำเงินมาใช้ ดังนี้
1.ลงทุนในการพัฒนาบุคลากร ซึ่งบุคลากรของเราส่วนใหญ่กว่า 70% อยู่กันมาเกินกว่า 10 ปี และบุคลากรเหล่านี้ เป็นบุคลากรที่มีทักษะ มีประสบการณ์ เรามีเป้าประสงค์ที่จะพัฒนาบุคลากรเหล่านี้ให้มีความรู้ มีความเชี่ยวชาญเพิ่มขึ้น และก็สร้างสรรค์ธุรกิจของการก่อสร้าง ควบคุมงานก่อสร้าง ให้เจริญเติบโตอย่างต่อเนื่อง
2.นำมาใช้ในการพัฒนาทางด้านเทคโนโลยีและแอปพลิเคชัน ในการ
ควบคุมงานก่อสร้างให้การทำงานมีประสิทธิภาพ และสามารถทำงานสนับสนุนการทำงานของผู้รับเหมา สนับสนุนการลงทุนของเจ้าของโครงการ ทำให้การควบคุมและบริหารงานก่อสร้างเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และได้งานแล้วเสร็จตามเป้าหมายที่กำหนด
***ธปท.ออกเกณฑ์คุมซื้อที่อยู่อาศัย กระทบธุรกิจบริษัทหรือไม่
สำหรับมาตรการของภาครัฐที่ออกมา ถามว่า ส่งผลกระทบกับธุรกิจอาคารคอนโดมิเนียมพักอาศัยไหม คงต้องตอบว่า อาจจะส่งผลกระทบบ้าง บางส่วน กับกลุ่มลูกค้าซึ่งเป็นพวกกลุ่มเก็งกำไร แต่สำหรับกลุ่มลูกค้าที่ยังมีความต้องการในการหาที่พักอาศัยอย่างแท้จริง อันนี้ไม่มีผล ประกอบกับธุรกิจของ กลุ่มบริษัท
สโตนเฮ้นจ์ อินเตอร์ ในปัจจุบัน ได้ขยายลักษณะของธุรกิจเข้าสู่ธุรกิจของการรับควบคุมการบริหารงานทางด้าน โรงแรม , mixed use ,โรงพยาบาล มากขึ้น รวมถึง อาคารเอนกประสงค์
นอกจากนี้ เรายังมีความเชี่ยวชาญในด้านการควบคุม ดูแล อนุรักษ์ อาคาร โบราณสถาน เป็นเหตุให้สัดส่วนของการคุมงานสัดส่วนของคอนโดฯ มีแนวโน้มที่ลดลง เทียบกับสัดส่วนทั้งหมด จึงทำให้มั่นใจได้ว่า มาตรการของรัฐที่ออกมาควบคุมเรื่องของคอนโดมิเนียมแทบไม่ส่งผลกระทบต่อธุรกิจของกลุ่มบริษัทสโตนเฮ้นจ์ อินเตอร์
***ทำไมนักลงทุนต้องเลือก STI?
ถ้ามองในแง่ของธุรกิจการบริหารและควบคุมงานก่อสร้าง ผมกล้าพูดได้ว่า
ประการแรก STI มีการเติบโตของรายได้อย่างมั่นคงและต่อเนื่อง เราได้รับความไว้วางใจจากลูกค้าเดิม และลูกค้ารายใหม่ก็ให้โอกาสเรา บางครั้งลูกค้ามีคำถามว่าทำไม สโตนเฮ้นจ์ อินเตอร์ ได้งานค่อนข้างมาก แต่ภายหลังจากที่เราได้รับโอกาสเข้าไปพรีเซ็นต์งาน ลูกค้าไม่ลังเลที่จะเลือกเรา
ประการที่ 2 เรามีการพัฒนามาตรฐานอย่างต่อเนื่องสู่ระดับสากล ปัจจุบันเราได้รับความไว้วางใจในการควบคุมงานก่อสร้าง โครงการ “One Bangkok” ซึ่งถือเป็นโครงการที่ใหญ่เป็นอันดับ 1 หรือใหญ่ที่สุดในเอเชียอาคเนย์ในภาคเอกชน จากจุดนี้ทำให้มั่นใจได้ว่า บริษัทมีมาตรฐานในการทำงานจนได้รับความไว้วางใจให้ดูแลโครงการ One Bangkok
ประการที่ 3 บริษัทมีการพัฒนาบุคลากร อย่างต่อเนื่อง ทำให้พนักงาน ของเรามีความเชี่ยวชาญในการดำเนินงาน ที่สำคัญที่สุดคือ STI มีสถานะการเงินที่มั่นคง เพราะฉะนั้น มั่นใจได้ครับว่า นักลงทุนที่จะลงทุนกับ STI ไม่ผิดหวังแน่นอน
แหล่งที่มา : สำนักข่าวอีไฟแนนซ์ไทย