STI โชว์ศักยภาพคุมงาน งบปี 65 ทำรายได้ 1,737 ลบ. พ่วงอัตรากำไรดีขึ้น บอร์ดใจดี ไฟเขียวจ่ายเงินปันผล 0.17 บ./หุ้น

STI โชว์ศักยภาพคุมงาน งบปี 65 ทำรายได้ 1,737 ลบ. พ่วงอัตรากำไรดีขึ้น

บอร์ดใจดี ไฟเขียวจ่ายเงินปันผล 0.17 บ./หุ้น

 

          STI ผู้นำที่ปรึกษาคุมงานก่อสร้าง โชว์ศักยภาพปี 65 สามารถทำผลงานเติบโตทั้งรายได้และกำไร โดยมีรายได้จากการให้บริการ 1,736.8 ลบ. กำไรสุทธิ 145.6 ลบ. อัตรากำไรขั้นต้นดีขึ้นอยู่ที่ 31% มองปี 66 ปัจจัยสนับสนุนจากเม็ดเงินลงทุนสะพัดทั้งรัฐ-เอกชนใส่เกียร์เดินหน้าเปิดตัวโครงการ หนุน STI ซุ่มปิดดีลคว้างานใหญ่เพิ่มอีก จากปัจจุบันตุน Backlog ไว้แล้วกว่า 4,200 ลบ. วางเป้ารายได้ปีนี้เติบโตไม่ต่ำกว่า 10% ด้านบอร์ดไฟเขียวจ่ายเงินปันผลตอบแทนผู้ถือหุ้น 0.17 บ./หุ้น กำหนดจ่าย 25 พ.ค. 66

          นายสมเกียรติ ศิลวัฒนาวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สโตนเฮ้นจ์ อินเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ STI กลุ่มผู้นำในธุรกิจที่ปรึกษาบริหารและควบคุมงานก่อสร้างครบวงจร เปิดเผยว่า ภาพรวมกลุ่ม STI ประสบความสำเร็จในปี 2565 จากการทยอยส่งมอบงานในมือที่อยู่ในระดับสูง หลังสถานการณ์  โควิดผ่อนคลาย สะท้อนการเป็นที่ปรึกษาชั้นนำที่ได้รับความไว้วางใจให้ออกแบบ และควบคุมงานก่อสร้างโครงการขนาดใหญ่ระดับประเทศ และยังคงรักษาความแข็งแกร่งทางด้านฐานะการเงินได้เป็นอย่างดี ทำให้ผลการดำเนินงานปี 2565 เติบโตขึ้นจากปีที่ผ่านมา 

          ผลประกอบการปี 2565 (มกราคม - ธันวาคม 2565) บริษัทฯ มีรายได้จากการให้บริการ 1,736.8 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าอยู่ที่ 1,732.8 ล้านบาท โดยรายได้หลักมาจากธุรกิจบริหารและควบคุมงานก่อสร้าง มีสัดส่วนกว่า 81% แม้แผนพัฒนาโครงการบางส่วนมีการชะลอตัวเนื่องจากผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อโควิดในช่วงไตรมาสแรกของปี 2565 อย่างไรก็ตาม งานโครงการได้ทยอยกลับมาพัฒนาต่อในช่วงที่เหลือของปีหลังโควิดคลี่คลายอย่างต่อเนื่องตามแผน เช่น โครงการ One Bangkok โครงการรถไฟทางคู่ ช่วงมาบกะเบา-ชุมทางถนนจิระ โครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วงใต้ เตาปูน-ราษฎร์บูรณะ โครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบังระยะที่ 3 เป็นต้น

          สำหรับ รายได้จากธุรกิจออกแบบสถาปัตยกรรมและวิศวกรรมและธุรกิจอื่น มีสัดส่วน 19% ปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยมีสาเหตุหลักมาจากงานบริการส่วนนี้สามารถดำเนินการเพื่อส่งมอบได้มากขึ้นภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อโควิดที่มีแนวโน้มลดลง โดยเฉพาะงานในส่วนของบริษัท เอเชี่ยน เอ็นจิเนียริ่ง คอนซัลแต้นส์ จำกัด (AEC) ซึ่งเป็นบริษัทย่อย 

          ขณะที่ ต้นทุนการให้บริการลดลง ส่งผลให้กำไรขั้นต้นอยู่ที่ 538.4 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 6.2% มีอัตรากำไรขั้นต้นปี 2565 และ 2564 อยู่ที่ 31% และ 29.3% ตามลำดับ สะท้อนถึงความสามารถในการบริหารจัดการต้นทุนการให้บริการที่ดีขึ้นภายหลังจากการแพร่ระบาดของเชื้อโควิดคลี่คลายลง ส่งผลให้กำไรสุทธิอยู่ที่ 145.6 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนมีกำไรสุทธิ 144.4 ล้านบาท

          นายสมเกียรติ กล่าวต่ออีกว่า ในปี 2566 กลุ่ม STI ตั้งเป้ารายได้เติบโตไม่ต่ำกว่า 10% จากปีก่อน เนื่องจากเราเห็นโอกาสจากภาพรวมอุตสาหกรรมที่ฟื้นตัวในปีนี้ โดยมีปัจจัยขับเคลื่อนสำคัญมาจากความต่อเนื่องของงบการลงทุนและแผนการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของรัฐบาล เพื่อบรรลุเป้าหมายตามแผนปฏิบัติการภายใต้ยุทธศาสตร์การพัฒนาระบบคมนาคมขนส่งของไทย เช่น ทางหลวง ทางรถไฟ สนามบิน และ โครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ที่เชื่อมโยงกับพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ความต้องการในการเพิ่มที่อยู่อาศัยและโครงการเชิงพาณิชย์ต่างๆ มีแนวโน้มทยอยฟื้นตัวตามภาวะเศรษฐกิจ โดยกลุ่ม STI มีความพร้อมในการให้บริการที่ปรึกษาควบคุมงานก่อสร้างที่ยั่งยืนและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม รวมทั้งการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้สำหรับอุตสาหกรรมการก่อสร้าง เช่น Building Information Modeling (BIM),Internet of Things (IoT) และเทคโนโลยีอื่นๆที่ล้ำหน้า เพื่อยกระดับคุณภาพงานสู่มาตรฐานสากล

          อีกทั้ง ปัจจุบันกลุ่ม STI มีงานในมือ (Backlog) พุ่งทะยานมากกว่า 4,200 ล้านบาท เตรียมทยอยรับรู้รายได้ในช่วง 2-3 ปีจากนี้ สร้างความมั่นคงในการทยอยรับรู้รายได้ในระยะยาว

          ด้านที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ มีมติอนุมัติจ่ายเงินปันผลเป็นเงินสดให้แก่ผู้ถือหุ้นในอัตราหุ้นละ 0.17 บาท โดยจ่ายจากกำไรสุทธิงวดวันที่ 1 มกราคม 2565 - 31 ธันวาคม 2565 คิดเป็นจำนวนเงิน 102,509,503 บาท ซึ่งคิดเป็นอัตราการจ่ายเงินปันผล 73% ของกำไรสุทธิประจำปี 2565 (งบการเงินรวม) หรือคิดเป็น 87% ของกำไรสุทธิประจำปี 2565 (งบการเงินเฉพาะกิจการ) กำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิรับเงินปันผล (Record Date) ในวันที่ 11 พฤษภาคม 2566 และกำหนดจ่ายเงินปันผลภายในวันที่ 25 พฤษภาคม 2566 ทั้งนี้ การให้สิทธิในการรับเงินปันผลยังไม่มีความแน่นอน เนื่องจากต้องได้รับการอนุมัติจากที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปีในวันที่ 26 เมษายน 2566