STI คุมงานแกร่ง เปิดงบ Q3/65 ทำกำไรกว่า 35 ลบ. รายได้ 407 ลบ.
ชู ที่ปรึกษาคุมงานเมกะโปรเจกต์แถวหน้าของประเทศ ตุน Backlog แน่นกว่า 4,500 ลบ.
สโตนเฮ้นจ์ อินเตอร์ หรือ STI ผู้นำที่ปรึกษาและควบคุมงานก่อสร้าง เผยผลงาน Q3/65 ทำรายได้จากการให้บริการอยู่ที่ 407.9 ลบ. กำไรสุทธิ 35.1 ลบ. มีอัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ร้อยละ 30.5 แย้ม Q4/65 ทยอยส่งมอบงานต่อเนื่อง พร้อมจัดทัพเดินหน้าประมูลงานใหม่ ดันแบ็คล็อกปัจจุบันอยู่ที่ 4,500 ล้านบาท สร้างการเติบโตที่มั่นคงในระยะยาว ลุ้นเติมนิวไฮแบ็คล็อกโค้งสุดท้ายของปี
นายสมเกียรติ ศิลวัฒนาวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สโตนเฮ้นจ์ อินเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ STI กลุ่มผู้นำในธุรกิจที่ปรึกษาบริหารและควบคุมงานก่อสร้างครบวงจร เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานในไตรมาส 3 ปี 2565 ที่สามารถบริหารงานออกมาได้อย่างดี แม้บางโครงการจะมีการชะลอตัวลงจากสถานการณ์โควิด แต่ก็เริ่มทยอยส่งมอบไปหลายโครงการ อาทิ โครงการสวนป่าเบญจกิติ ระยะที่ 2 และ 3 และโครงการปรับปรุงศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ รวมถึงอีกหลายโครงการที่เตรียมส่งมอบในไตรมาสที่ 4/2565
อีกทั้ง การเดินหน้างานที่หลากหลาย ขยายความชำนาญสู่อุตสาหกรรมอื่น ทำให้ปัจจุบัน STI มีงานกระจายอยู่ทั้งภาครัฐและเอกชน ที่ปัจจุบันหลายโครงการเร่งก่อสร้างอย่างเต็มที่ เพื่อให้ส่งมอบงานได้ตามกำหนด โดยมี บริษัท เอเชี่ยน เอ็นจิเนียริ่ง คอนซัลแต้นส์ จำกัด หรือ AEC (บริษัทย่อย) หนุนความแข็งแกร่งงานภาครัฐ ที่มีการกระตุ้นงานก่อสร้างอยู่หลายโครงการ โดยเฉพาะงานโครงสร้างพื้นฐานอัดแน่น ทั้งเมกะโปรเจกต์และโครงการอื่นๆ มากมาย
สำหรับผลประกอบการในไตรมาส 3/2565 กลุ่ม STI มีรายได้จากการให้บริการจำนวน 407.9 ล้านบาท แบ่งเป็น รายได้จากธุรกิจบริหารและควบคุมงานก่อสร้างจำนวน 337.4 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 9.1 เนื่องจากผลกระทบของงานโครงการภาครัฐขนาดใหญ่บางโครงการที่เลื่อนการเริ่มรับรู้รายได้ไปไตรมาส 4/2565 และรายได้จากธุรกิจออกแบบสถาปัตยกรรมและวิศวกรรมและธุรกิจอื่นมีจำนวน 70.5 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10.6 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 17.7 โดยมีสาเหตุหลักเนื่องมาจากงานบริการส่วนนี้สามารถดำเนินการเพื่อส่งมอบได้มากขึ้นภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อโควิดที่มีแนวโน้มลดลงโดยเฉพาะงานในส่วนของบริษัทย่อย AEC
ด้านกำไรขั้นต้นอยู่ที่ 124.6 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8.6 ล้านบาท หรือ 7.4% คิดเป็นอัตรากำไรขั้นต้นร้อยละ 30.5 สาเหตุหลักมาจากผลกระทบจากสถานการณ์โควิดในไตรมาส 3/2564 ทำให้เกิดต้นทุนการให้บริการที่เพิ่มขึ้น สนับสนุนให้กำไรสุทธิของกลุ่มบริษัทฯ อยู่ที่ 35.1 ล้านบาท และมีอัตรากำไรที่ร้อยละ 8.6 เพิ่มขึ้นร้อยละ 8.7
สนับสนุนผลประกอบการในงวด 9 เดือนแรกของปี 2565 กลุ่ม STI มีรายได้จากการให้บริการจำนวน 1,242.4 ล้านบาท กำไรสุทธิ 97.0 ล้านบาท
“เรายังคงมุ่งมั่นและเดินหน้าประมูลงานใหม่เข้าพอร์ตอย่างต่อเนื่อง จากปัจจุบันเราทำนิวไฮแบ็คล็อก อยู่ที่ 4,500 ล้านบาท ซึ่งจะทยอยรับรู้รายได้ 2-3 ปี สร้างการเติบโตระยะยาวและแข็งแกร่ง โดยเฉพาะงานโครงสร้างพื้นฐานระดับประเทศที่กลุ่ม STI ได้รับความเชื่อมั่น” นายสมเกียรติกล่าว
ด้านแนวโน้มไตรมาส 4/65 มีทิศทางที่ดีต่อเนื่อง และถือเป็นอีกช่วงไฮซีซั่นของการทยอยส่งมอบงาน และประมูลงานตามแผน ปัจจุบัน กลุ่ม STI มีงานในมือกว่า 200 โครงการ ซึ่งเป็นสัดส่วนงานภาครัฐประมาณร้อยละ 70 และงานเอกชนร้อยละ 30 ทำให้ กลุ่ม STI รับงานได้หลากหลายอุตสาหกรรมด้วยความชำนาญ มีการกระจายความเสี่ยง โดยงานที่ยังเดินหน้าอยู่ อาทิ โครงการ One Bangkok โครงการศูนย์การค้าเทอมินอล 21 พระราม 3 โครงการ One Bangkok โครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ได้แก่ โครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออก ระยะที่ 1 โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน โครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบัง ระยะที่ 3 (ส่วนที่ 1-4) และโครงการพัฒนาท่าเรืออุตสาหกรรมมใบตาพุด ระยะที่ 3 (ช่วงที่ 1) รวมไปถึง งานโครงสร้างพื้นฐาน โครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วงใต้ เตาปูน-ราษฎร์บูรณะ โครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำตาล โครงการทางหลวงพิเศษ รวมถึงปี 2565 นี้ยังได้งานใหม่ คือ โครงการก่อสร้างทางรถไฟ สายเด่นชัย – เชียงราย – เชียงของ โครงการก่อสร้างทางรถไฟ สายบ้านไผ่ – มหาสารคาม – ร้อยเอ็ด – มุกดาหาร – นครพนม และล่าสุดได้งานปรึกษาโครงการสะพานข้ามแม่น้ำโขงแห่งใหม่เชื่อม "หนองคาย-เวียงจันทน์" เป็นต้น