STI พร้อมยกระดับเข้าสู่ตลาด SET มิถุนายน นี้ !!
เปิดแผนสร้างการเติบโตระยะยาว ลุ้นนิวไฮแบ็คล็อก
สโตนเฮ้นจ์ อินเตอร์ หรือ STI ผู้นำบริหารและควบคุมงานก่อสร้าง สร้างความเชื่อมั่นเปิดแผนการเติบโตระยะยาว เดินหน้าเพิ่มทุนจดทะเบียนจากการจ่ายปันผลเป็นหุ้นสามัญและเงินสด รวมมูลค่าทั้งสิ้นไม่เกิน 167,500,000 บาท เตรียมพร้อมเข้าเทรดในตลาดหลักทรัพย์ (SET) สร้างโอกาสในการรับงานที่เติบโตและการลงทุนของนักลงทุนสถาบัน กองทุนทั้งในและต่างประเทศ ด้านไตรมาส1 ปี 2565 ทำรายได้จากการให้บริการ 415.6 ลบ. กำไรสุทธิ 30.1 ลบ. เชื่อมั่นมีโอกาสชนะประมูลคว้างานเข้าพอร์ตอย่างต่อเนื่องตลอดทั้งปี ลุ้นสร้างนิวไฮ Backlog จากที่ปัจจุบันอยู่ที่ 4,000 ลบ.
นายสมเกียรติ ศิลวัฒนาวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สโตนเฮ้นจ์ อินเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ STI ผู้นำกลุ่มธุรกิจบริหารและควบคุมงานก่อสร้างครบวงจร เปิดความสำเร็จของการบริหารงานในโค้งแรกของปีในช่วงไตรมาส 1 ปี 2565 ที่มีการปรับแผนกลยุทธ์ในการดำเนินงาน เน้นการบริหารจัดการค่าใช้จ่ายในการบริหารอย่างรอบคอบ พร้อมปรับเปลี่ยนรูปแบบการดำเนินงานในรูปแบบวิถีใหม่ เพื่อให้ทันต่อสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว รวมทั้งปรับกลยุทธ์ในการทำงานพัฒนาศักยภาพของบุคลากรให้มีประสิทธิภาพ ส่งผลให้บริษัทฯ ได้รับงานอย่างต่อเนื่องแม้จะอยู่ในช่วงของสถานการณ์ของการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 ก็ตาม และสามารถทำรายได้จากการให้บริการอยู่ที่ 415.6 ล้านบาท กำไรสุทธิ 30.1 ล้านบาท
โดยในปี 2565 นี้ STI พร้อมยกระดับองค์กรสู่การเติบโตครั้งสำคัญ หลังจากที่ประชุมมีมติอนุมัติย้ายเข้าซื้อขายจากตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) สู่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) เพื่อเป็นการเพิ่มโอกาสในการเติบโต และการลงทุนของนักลงทุนสถาบัน กองทุนทั้งในและต่างประเทศ ด้วยการเพิ่มทุนจดทะเบียน 167,500,000 บาท จากการจ่ายปันผลเป็นหุ้นสามัญและเงินสด ทำให้ ณ ปัจจุบัน STI มีทุนจดทะเบียนอยู่ที่ 301,500,000 บาท และจะเข้าไปซื้อขายบนกระดาน SET ภายในเดือนมิถุนายน 2565 นี้ ซึ่ง STI มีการเติบโตอย่างโดดเด่นทุกปี ตั้งแต่เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ mai ในปี 2561 จากนั้นในปี 2563 ได้มีการลงทุนในบริษัท เอเชี่ยน เอ็นจิเนียริ่ง คอนซัลแต้นส์ จำกัด (AEC) ในสัดส่วน 63.75% ทำให้บริษัทเติบโตขึ้นมาอย่างก้าวกระโดด และในปี 2565 บริษัทก็ขยับขึ้นบันไดก้าวสำคัญอีกหนึ่งสเต็ปสู่การเข้าเทรดใน SET
อย่างไรก็ดี ตั้งแต่เปิดศักราช 2565 กลุ่ม STI ก็เดินหน้ารับงานเข้าพอร์ตอย่างต่อเนื่อง ทำให้ปัจจุบันงานในมือ (Backlog) ที่มีมูลค่ากว่า 4,000 ล้านบาท ทยอยรับรู้รายได้ในอีก 3-5 ปีข้างหน้า อาทิ งานจ้างควบคุมงานก่อสร้าง โครงการเอกชนร่วมลงทุนในส่วนการดำเนินงานและบำรุงรักษา (O&M) ทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองสายบางใหญ่ – กาญจนบุรี งานจ้างควบคุมงานก่อสร้างโครงการ เอกชนร่วมลงทุน ในส่วนการดำเนินงานและบำรุงรักษา (O&M) ทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองสายบางปะอิน – นครราชสีมา โครงการศูนย์การแพทย์รามาธิบดีศรีอยุธยา มูลนิธิรามาธิบดี, ที่ปรึกษาคุมงานก่อสร้างโครงการสวนป่าเบญจกิติ ระยะที่ 2 และ 3, ที่ปรึกษาคุมงานโครงการก่อสร้างศูนย์ราชการกระทรวงมหาดไทยแห่งใหม่, ที่ปรึกษาคุมงานก่อสร้างสนามบินอู่ตะเภา เมืองการบิน เฟส1, โครงการ One Bangkok, โครงการปรับปรุงศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์, โครงการอาคารชุดพักอาศัยหลายโครงการ โครงการอาคารสำนักงาน และโครงการประเภทอาคารอเนกประสงค์ เป็นต้น การเดินหน้าขยายความเชี่ยวชาญในงานด้านวิศวกรรมให้ครอบคลุมทุกกลุ่มอุตสาหกรรมมากขึ้น อีกทั้งในปีนี้ตลอดทั้งปียังมีโอกาสลุ้นงานใหม่เมกะโปรเจกต์เข้ามาในพอร์ต ลุ้นสร้างนิวไฮแบ็คล็อกได้อีกด้วย
“STI เรามุ่งมั่น และสร้างการผลักดันให้มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ขยายความเชี่ยวชาญไปในกลุ่มงานก่อสร้างอื่นๆให้มากขึ้น ตามเทรนด์การเติบโตของประเทศ เดินหน้าประมูลงานเมกะโปรเจกต์เข้าพอร์ตอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้บริษัทสามารถสร้างการเติบโตได้ในระยะยาว ด้วยแผนกลยุทธ์ต่างๆที่เรานำมาปรับใช้และบริหารด้วยความเชี่ยวชาญในด้านวิศวกรรมมาอย่างยาวนาน ซึ่งในปีนี้เราตัดสินใจเพิ่มทุนจดทะเบียนนำพา STI เข้าเทรดใน SET เพื่อสร้างโอกาสในการเติบโตที่มากขึ้นในอนาคต รองรับงานต่างๆที่ชนะการประมูลเข้ามาตลอดทั้งปี เราพร้อมที่จะให้ความเชื่อมั่นและสร้างผลตอบแทนในระยะยาวให้แก่ผู้ถือหุ้นและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกฝ่าย ให้ความสำคัญต่อการขับเคลื่อนองค์กรสู่ความยั่งยืนทั้งในด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม” นายสมเกียรติ กล่าวปิดท้าย