“สโตนเฮ้นจ์ อินเตอร์ (STI)” เผยงบ 9 เดือน ทำรายได้ 1,298 ล้านบาท
ล่าสุดได้เมกะโปรเจกต์ EEC หนุน Backlog แข็งแกร่งที่ 4.0 พันล้านบาท
“สโตนเฮ้นจ์ อินเตอร์ (STI)” ผู้นำธุรกิจที่ปรึกษาคุมงานก่อสร้างครบวงจร ตุน Backlog ในมือแน่นอยู่ที่ 4.0 พันลบ. หลังได้งานเมกะโปรเจกต์คุมงานใหญ่ระดับประเทศ ในโครงการภาคตะวันออก EEC และเตรียมปิดงานโครงการโค้งสุดท้ายของปี เรียกได้ว่า เดินหน้าเต็มกำลังรับปัจจัยบวกเปิดประเทศ หนุนภาคอุตสาหกรรมก่อสร้างฟื้นตัวในอัตราเร่ง และเป็นทิศทางบวกต่อผลประกอบการของกลุ่มบริษัทใน Q4/64 มีแนวโน้มเติบโตกว่า Q3/64 ซึ่งเป็นช่วงที่มีการล็อกดาวน์ปิดไซด์งานก่อสร้าง ด้วยการบริหารจัดการที่ดี และการปรับกลยุทธ์ ส่งผลให้ผลประกอบการ Q3/64 ทำรายได้อยู่ที่ 431 ล้านบาท กำไร 32.3 ล้านบาท ด้านงบ 9 เดือน ทำรายได้อยู่ที่ 1,298 ล้านบาท กำไร 103.3 ล้านบาท
นายสมเกียรติ ศิลวัฒนาวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สโตนเฮ้นจ์ อินเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ STI ผู้นำกลุ่มธุรกิจบริหารและควบคุมงานก่อสร้างครบวงจร เปิดเผยว่า ในปีนี้แม้จะมีสถานการณ์ของการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 กลุ่มบริษัทได้มีการปรับกลยุทธ์ การบริหารงาน และการจัดการควบคุมต้นทุนในด้านต่างๆ ทำให้แม้ในไตรมาส 3/2564 เป็นช่วงที่สถานการณ์การแพร่ระบาดมีความรุนแรง รัฐบาลได้ออกมาตรการปิดแคมป์งานก่อสร้างในพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด กลุ่มบริษัทได้มุ่งเน้นการบริหารจัดการภายใน และคงความสามารถในผลการดำเนินงานที่ดีที่สุด แม้เป็นช่วงวิกฤติของประเทศ และสนับสนุนให้กลุ่มบริษัทฯ มีผลประกอบการงวด 9 เดือนแรกของปี 2564 มีรายได้จากการให้บริการ 1,298 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 175 ล้านบาท หรือคิดเป็นการเพิ่มขึ้น 15.6 % มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 103.3 ล้านบาท ลดลง 8.2 ล้านบาท หรือคิดเป็นการลดลง 7.3 % เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน และมีอัตรากำไรขั้นต้น 28.8 % อัตรากำไรสุทธิ 7.9 %
โดยผลประกอบการไตรมาส 3/2564 บริษัทฯ มีรายได้จากการให้บริการ 431 ล้านบาท ลดลง 57.6 ล้านบาท หรือคิดเป็น 11.8% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากการพัฒนาโครงการบางส่วนมีการชะลอตัวจากสถานการณ์โควิด-19 โดยรายได้หลักมาจากธุรกิจบริหารและควบคุมงานก่อสร้าง มีสัดส่วน 86.1 % ส่วนรายได้จากธุรกิจออกแบบสถาปัตยกรรมและวิศวกรรมและธุรกิจอื่นมีสัดส่วน 13.9% ด้านกำไรสุทธิอยู่ที่ 32.3 ล้านบาท ลดลง 12.5 ล้านบาท หรือคิดเป็นการลดลง 27.8 % เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปี 2563 ซึ่งมีสาเหตุหลักจากการลดลงของกำไรขั้นต้นจำนวน 35.4 ล้านบาท โดยมีสาเหตุหลักจากผลกระทบของสถานการณ์โควิด-19 อย่างไรก็ตามกลุ่ม STI มีค่าใช้จ่ายในการบริหารลดลง 8.1 ล้านบาท มีผลทำให้กำไรสำหรับงวดไตรมาส 3 ลดลงในจำนวนดังกล่าว สะท้อนความมุ่งมั่นในการบริหารจัดการ
ในช่วงไตมาสที่ 4/2564 มีแนวโน้มเติบโตขึ้นเมื่อเทียบกับงวดไตรมาส 3 ปีนี้ เนื่องจากภาพรวมอุตสาหกรรมก่อสร้างเดินหน้าเร่งส่งมอบงาน และหลังจากรัฐบาลเปิดประเทศ สนับสนุนบรรยากาศการลงทุนและเศรษฐกิจเริ่มเดินหน้าต่อ เป็นปัจจัยสนับสนุนภาพรวมธุรกิจที่ในช่วงโค้งสุดท้ายของปีกลับมาคึกคัก และเร่งเดินหน้าส่งมอบงาน รวมทั้ง การเข้าประมูลงานใหม่ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นโครงการขนาดใหญ่ตามแผนระยะยาวของภาครัฐบาลและเอกชน
ทั้งนี้ ในช่วงที่ผ่านมา กลุ่มบริษัทสามารถคว้างานใหม่เพิ่มขึ้น เช่น เป็นที่ปรึกษาคุมงานก่อสร้างสนามบินอู่ตะเภา-เมืองการบิน เฟส1 ซึ่งเป็นงานบิ๊กโปรเจกต์ของ EEC, โครงการศูนย์การแพทย์รามาธิบดีศรีอยุธยา, โครงการก่อสร้างอาคารอุบัติเหตุ อาคารรังสี และอาคารที่จอดรถ โรงพยาบาลน่าน, โครงการ Grande Center Point Hotel, Lumphini, โครงการก่อสร้างตกแต่งภายในอาคารที่ทำการใหม่ กระทรวงการคลัง และโครงการก่อสร้างอาคารตลาดยิ่งเจริญ เป็นต้น ในขณะที่งานโครงการอื่นๆ ยังคงพัฒนาอย่างต่อเนื่อง อาทิ งานที่ปรึกษาคุมงานโครงการก่อสร้างศูนย์ราชการกระทรวงมหาดไทยแห่งใหม่ , โครงการ One Bangkok , ที่โครงการก่อสร้างอาคารที่ทำการสภาวิศวกร และโครงการอาคารสำนักงานขนาดใหญ่อื่นๆ รวมทั้ง ยังมีโครงการออกแบบรายละเอียดงานโยธารถไฟความเร็วสูงไทยจีนช่วงที่ 2 นครราชสีมา – หนองคาย เป็นต้น ส่งผลให้ปัจจุบัน บริษัทมีงานในมือที่รอรับรู้รายได้ (Backlog) รวมกันกว่า 4.0 พันล้านบาท ซึ่งส่วนใหญ่จะทยอยรับรู้รายได้ต่อเนื่องใปจนถึง 2-3 ปีข้างหน้า แบ่งเป็นงานภาครัฐบาลสัดส่วน 70% และเอกชนสัดส่วน 30% โดยประมาณ
“เราคาดว่าหลังจากเปิดประเทศ เศรษฐกิจเริ่มขยายตัว อุตสาหกรรมการก่อสร้างเริ่มเดินหน้าได้ในหลายโครงการ ซึ่งจะส่งผลให้ในช่วงไตรมาส 4/2564 ผลประกอบการยังเติบโตไปในทิศทางบวกอย่างแน่นอน” นายสมเกียรติ กล่าวทิ้งท้าย