STI รุกชิงบิ๊กโปรเจ็กต์เกิน 1 พันล้านบาท จากโครงการรถไฟฟ้ารางคู่ 600 ล้านบาท และสนามบินอู่ตะเภา 500 ล้านบาท หวังเติมแบ็กล็อกปีนี้เพิ่มอีก 2 พันล้านบาท จากปัจจุบัน 4 - 4.3 พันล้านบาท โชว์เงินสด 40 ล้านบาทพร้อมลงทุนหนุนฐานแกร่ง ด้านโบรกส่องชี้เติบโตสูง 73.8% เคาะกำไรไตรมาส 4/2563 พุ่ง 66.5% ปันผลเด่น 7.1% แนะ “ซื้อ” เป้า 11.65 บาท
นายสิทธิชัย เสรีพัฒนะพล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายการเงิน บริษัท สโตนเฮ้นจ์ อินเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ STI เปิดเผยว่า ในปี 2564 บริษัทตั้งเป้ามีงานในมือ หรือ Backlog เพิ่มขึ้นอีก 2 พันล้านบาท จากงานประมูลโปรเจ็กต์ใหญ่ในครึ่งปีแรกปี 2564 มูลค่าโครงการเกิน 1 พันล้านบาท และบริษัทจะหางานใหม่ระหว่างปีเข้ามา เบื้องต้นมีโอกาสได้งานคุมงานก่อสร้างรถไฟฟ้ารางคู่ ราว 600 ล้านบาท และงานคุมงานก่อสร้างสนามบินอู่ตะเภา ราว 500 ล้านบาท ส่วนงานรถไฟฟ้าสายสีส้ม บริษัทขอดูความชัดเจนของปีโครงการว่าจะเป็นอย่างไร
งานประมูลออกพรึบ
สำหรับแนวโน้มงานในปี 2564 คาดภาครัฐจะมีงานออกมาให้ประมูลอย่างต่อเนื่อง เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและโครงการโครงสร้างพื้นฐานในประเทศให้เติบโตยิ่งขึ้น ทั้งนี้บริษัทคาดจะมีโปรเจ็กต์ใหญ่จากภาครัฐออกมาในไตรมาส 1 หรือ 2/2564 ประมาณ 2 โครงการ อาทิ งานก่อสร้างรถไฟฟ้ารางคู่ งานก่อสร้างสนามบินอู่ตะเภา ขณะที่ปัจจุบันบริษัทมีงานในมือ หรือ Backlog ที่ประมาณ 4-4.3 พันล้านบาท โดยเป็น Backlog ในส่วนของ STI ประมาณ 1.7 พันล้านบาท และ AEC ประมาณ 2.6 พันล้านบาท ครอบคลุมทั้งงานโครงสร้างพื้นฐาน และงานภาคเอกชน คาดจะทยอยรับรู้เข้ามาในปีนี้ตามสัญญาการส่งมอบงาน ทั้งนี้หากสามารถรับรู้รายได้เข้ามาตามแผน คาดจะทิศทางรายได้จะเติบโตต่อเนื่องจากปี 2563 สำหรับสัดส่วนรายได้ เมื่อดูจาก Backlog จะเห็นว่าสัดส่วนจาก AEC มากกว่า 50% ซึ่งบริษัทปรับแผนการรับงานภาครัฐมากขึ้น เนื่องจากภาคเอกชนมีแนวโน้มชะลอตัวจากภาวะเศรษฐกิจในประเทศ
ล่าสุดคว้างาน
ล่าสุด บริษัทได้รับแต่งตั้งให้เป็นที่ปรึกษาบริหารและควบคุมงานก่อสร้าง “โครงการก่อสร้างอาคารที่ทำการสภาวิศวกร” เพื่อก่อสร้างที่ทำการสภาวิศวกรเป็นของตนเอง บนที่ดินแปลงติดถนนลาดพร้าว บริเวณปากซอยลาดพร้าว 54 เขตวังทองหลาง กรุงเทพมหานคร โครงการประกอบด้วยการก่อสร้างอาคาร 2 หลัง ได้แก่ อาคารที่ทำการสภาวิศวกร 1 หลัง และอาคารจอดรถยนต์ 1 หลัง โดยอาคารที่ทำการเป็นอาคารคอนกรีตสูง 7 ชั้น พื้นที่ใช้สอยประมาณ 9,000 ตารางเมตร นอกจากจะจัดให้เป็นสำนักงานแล้ว ยังจัดให้มีพื้นที่ใช้สอยอื่นด้วย เช่น เป็นห้องสมุด ห้องประชุม มีพื้นที่พาณิชย์และพื้นที่เช่าของสมาคมวิชาชีพต่าง ๆ ส่วนอาคารจอดรถยนต์เป็นอาคารเหล็กโครงสร้างรูปพรรณ ใช้ระบบจอดรถยนต์อัตโนมัติ
นายสิทธิชัย กล่าวต่อว่า บริษัทมีเงินสดในมือราว 40 ล้านบาท และอยู่ระหว่างพิจารณาการเข้าลงทุนในธุรกิจใกล้เคียงกับบริษัท หรือธุรกิจที่ปรึกษา และควบคุมงานก่อสร้าง แต่ยังไม่มีความชัดเจน เนื่องจากบริษัทต้องการศึกษาแผนการลงทุนให้ดี และดูจังหวะ โอกาสในการลงทุนที่เหมาะสม เพราะปัจจุบันภาวะเศรษฐกิจค่อนข้างชะลอตัว บริษัทจึงต้องพิจารณาการลงทุนให้ดี
ด้านบริษัทหลักทรัพย์ ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด ระบุในบทวิเคราะห์ว่า คาดกำไรไตรมาส 4/2563 อยู่ที่ 35.85 ล้านบาท +66.5% จากช่วงเดียวกันกับปีก่อนและลดลง -17.5% จากไตรมาสก่อนหน้า กำไรเพิ่มขึ้นเทียบกับปีก่อนจากการควบรวมกิจการ ส่วนการลดลงจากไตรมาสก่อนหน้าเกิดจากค่าใช้จ่ายในการบริหารเพิ่ม จากการให้ผลประโยชน์พนักงานเพิ่มตามกำไรที่เพิ่ม
พิกัดไกล
11.65 บ. คาดอัตรากำไรขั้นต้นยังทรงตัวดีอยู่ที่ 30.6% ทรงตัวจากไตรมาสก่อนที่ 31.1% และคาดว่าเงินปันผลปี 2563 อยู่ที่ 0.39 บาทต่อหุ้น คิดจากอัตราจ่ายเงินปันผลที่ 70% ต่ำกว่าอัตราจ่ายเงินปันผลปีก่อนที่ 79% คิดเป็นอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลที่สูงถึง 5.1% ในปี 2563และปี 2564 ยังสูงถึง 7.1% บริษัทยังซื้อขายที่ P/E ระดับต่ำเพียง 9.8 เท่าในปี 2564 และการเติบโตยังอยู่ในระดับสูงเติบโต +73.8% ในปี 2563 และ ในปี 2564เติบโตอีก +40.5% คงคำแนะนำ ซื้อ ใช้ราคาพื้นฐานปี 2564 ที่ 11.65 บาท