"STI มีดีลซื้อกิจการปลายปีนี้ เร่งปั๊มแบ็กล็อกแตะ 5 พันล้าน"
บอสใหญ่ STI “สมเกียรติ ศิลวัฒนาวงศ์” ซุ่มทำดีลซื้อกิจการธุรกิจใกล้เคียงกัน คาดชัดเจนภายในปีนี้ ชี้ปัจจุบัน D/E ต่ำเพียง 0.5 เท่า หาเงินทุนได้อีกเพียบ ใส่เกียร์ดันแบ็กล็อกสิ้นปีแตะ 5 พันล้านบาท ชี้ครึ่งปีหลังบิ๊กโปรเจ็กต์ภาครัฐออกมาอื้อ ปักเป้าปั๊มรายได้ปีนี้โต 80% แตะ 1.3-1.5 พันล้านบาท โบรกแนะ “ซื้อ” เคาะพื้นฐานใหม่ 7.46 บาท จากเดิม 5.90 บาท
นายสมเกียรติ ศิลวัฒนาวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สโตนเฮ้นจ์ อินเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ STI เปิดเผยว่า บริษัทยังเดินหน้าทำดีลซื้อกิจการ (M&A) ปัจจุบันอยู่ระหว่างการตรวจสอบฐานะทางการเงินกับบริษัทหนึ่ง ซึ่งประกอบธุรกิจใกล้เคียงกับบริษัท หรือธุรกิจที่ปรึกษา และควบคุมงานก่อสร้าง
ขณะเดียวกันบริษัทมีเงินเหลือจากการระดมทุนขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้แก่ประชานเป็นครั้งแรก หรือ IPO อยู่ที่ 40-50 ล้านบาท จากมูลค่าการระดมทุนทั้งหมด 200 ล้านบาท คาดจะยังสามารถขยายธุรกิจและเพิ่มขีดความสามารถในการรับงานให้อนาคตได้ บริษัทมีอัตราหนี้สินต่อทุน หรือ D/E อยู่ที่ระดับ 0.5 เท่า และมีศักยภาพในการหาแหล่งเงินทุนสำหรับการเข้าซื้อกิจการ หากมีความจำเป็นต้องใช้เงินจากสถาบันทางการเงิน คาดจะเห็นความชัดเจนภายในปีนี้
โปรเจ็กต์ใหญ่เพียบ
ขณะที่ทิศทางช่วงที่เหลือของปีนี้ บริษัทคาดจะมีงานโครงการขนาดใหญ่ งานโครงการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานเข้ามา หลังจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 เริ่มคลี่คลาย คาดภาครัฐจะเร่งผลักดันโครงการต่างๆ ออกมา อาทิ โครงการพัฒนานิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด มอเตอร์เวย์ และรถไฟทางคู่ คาดว่าจะเห็นความชัดเจนมากขึ้นในช่วงต่อจากนี้
ทั้งนี้บริษัทประเมินภาพรวมงานในมือ หรือ Backlog สิ้นปีนี้จะเพิ่มขึ้นไปถึงระดับ 5 พันล้านบาท จากปัจจุบันมี Backlog อยู่ที่ระดับ 4.5 พันล้านบาท สำหรับงานโครงการขนาดใหญ่จากภาครัฐและเอกชนจะประกอบไปด้วย อาคารก่อสร้างสำนักงาน และโครงการ mixed use ที่ปัจจุบันอยู่ระหว่างเจรจา 6-7 โครงการ ซึ่งมีสัดส่วนที่เป็นงานของบริษัทมูลค่าราว 300-400 ล้านบาท รวมไปถึงงานก่อสร้างโรงงานอุตสาหกรรมที่ปัจจุบันอยู่ระหว่างเจรจา 3-4 โครงการที่จะทยอยรู้ผลประมูลในช่วงที่เหลือของปีนี้
ราคาเหล็กลด
“เชื่อว่าการลงทุนโครงการใหญ่จะเห็นโครงการออกมาอย่างต่อเนื่อง ด้วยโครงสร้างต้นทุนการก่อสร้างก็ปรับตัวลดลง เมื่อดูจากราคาเหล็กที่เป็นเหล็กโครงสร้างตอนต้นปีอยู่ที่ 21 บาท ขณะที่ปัจจุบันราคาเหล็กอยู่ที่ 16 บาท ทำให้ผู้ประกอบการที่มีเงินทุนเพียงพอในการรับงาน จะเข้าหางานมากขึ้น อีกทั้งเรามองว่าต้นทุนค่าก่อสร้างที่ลดลงคาดจะยาวไปอีก 6 เดือน หรือถึงสิ้นปีนี้” นายสมเกียรติ กล่าว
นายสมเกียรติ กล่าวต่อว่า บริษัทตั้งเป้ารายได้ใน 3-5 ปี (2563-2567) จะเพิ่มขึ้นแตะระดับ 2 พันล้านบาท หรือเติบโตเฉลี่ยไม่ต่ำกว่า 10% ต่อปี ซึ่งเป็นผลมาจากการบริษัทเข้าประมูลงานอย่างต่อเนื่องทั้งงานของภาครัฐและภาคเอกชน ขณะที่ปีนี้บริษัทมั่นใจรายได้จะเติบโตได้ตามเป้าหมายที่ 80% หรือไปแตะที่ 1.3-1.5 พันล้านบาท จากปีก่อน 727.28 ล้านบาท จากการรับรู้รายได้จาก AEC เข้ามา อีกทั้งบริษัทคาดสัดส่วนรายได้จากภาครัฐปีนี้จะเพิ่มขึ้นไปแตะ 30-40% จากปีก่อนอยูที่ระดับไม่เกิน 10% จากฐานการรับงานและรับรู้รายได้จาก AEC ขณะเดียวกันคาดสัดส่วนจากภาคเอกชนจะปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ระดับ 60-70% จากเดิมที่ 90%
อัพเป้าไกล 7.46 บ.
ด้านบทวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด ระบุ STI โตก้าวกระโดดจากแผนการซื้อกิจการ 63.75% ของ AEC จะเริ่มรับรู้ตั้งแต่ไตรมาส 2/2563 เดือนพฤษภาคมเป็นต้นไป ในขณะที่กำไรไตรมาส 1ที่ผ่านมา ซึ่งยังไม่ได้ควบรวม AEC เข้ามา บริษัทก็สามารถทำกำไรได้เติบโตสูงโดยตัวของบริษัทเองอยู่ การควบรวมกิจการ ยิ่งทำให้ผลประกอบการออกมาเติบโตโดดเด่น แม้ว่าจะยังควบรวมไม่เต็มไตรมาสและมีค่าใช้จ่ายที่ปรึกษาทางการเงินเข้ามาในไตรมาสนี้ สำหรับงานในมือ (Backlog) ของทั้งสองบริษัทอยู่ในระดับสูงเมื่อเทียบกับรายได้ ของทั้งสองบริษัทก่อนซื้อกิจการที่ระดับ 7-8ร้อยล้านบาทต่อปี ลดความเสี่ยงจากเศรษฐกิจชะลอตัวไปได้อีก 2-3 ปี
ประเมินกำไรสุทธิในปีนี้เพิ่มขึ้น 56.3% และปีหน้า 61.3% จากการควบรวมกิจการ AEC ในขณะที่ต้นทุนในการซื้อ AEC ไม่สูง เป็นการใช้เงินทุนที่เข้าระดมทุนจากตลาดหลักทรัพย์ 135ล้านบาท และเงินกู้140 ล้านบาท โดยมีเพียงดอกเบี้ยจ่ายประมาณ 5 ล้านบาทต่อปี ถือว่าคุ้มค่ากับกำไรที่เพิ่มในอนาคตค่อนข้างมาก คงคำแนะนำ “ซื้อ” ประเมินมูลค่าพื้นฐานปี 2563 ที่ 7.46 บาท จากเดิม 5.90 บาท
รายงาน : เฉลิมชัย ศิรินันทวิทยา
บรรณาธิการ : เฉลิมชัย ศิรินันทวิทยา
สำนักข่าว : ทันหุ้น