“สโตนเฮ้นจ์ อินเตอร์” ดีลซื้อหุ้น “เอเชี่ยน เอ็นจิเนียริ่งฯ” สำเร็จ
หนุนผลงานโตกระโดด อัพเป้ารายได้ปีนี้โต 80% ตุน Backlog อยู่ที่ 4,500 ล้านบาท
“สโตนเฮ้นจ์ อินเตอร์” หรือ STI ประกาศเข้าซื้อกิจการเรียบร้อยแล้วในบริษัท “เอเชี่ยน เอ็นจิเนียริ่ง คอนซัลแต้นส์” ถือหุ้นสัดส่วน 63.75% “สมเกียรติ ศิลวัฒนาวงศ์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เผย ความสำเร็จในครั้งนี้ จะสนับสนุนให้ STI สามารถรับรู้รายได้ของ AEC เข้ามาทันทีในเดือนพฤษภาคมเป็นต้นไป ส่งผลดีต่อผลการดำเนินงานของบริษัทฯ ตั้งแต่ไตรมาส 2/63 ให้เติบโตได้อย่างก้าวกระโดด เพิ่มโอกาสในการขยายพอร์ตไปสู่งานโครงสร้างพื้นฐานภาครัฐมากขึ้น จึงปรับเป้าหมายรายได้ปี 63 เป็นเติบโต 80% และตุน Backlog ในมือรวมกันแล้วที่ 4,500 ล้านบาท อีกทั้ง มีโปรเจ็คใหม่ที่รอแจ้งความคืบหน้าในอนาคต
นายสมเกียรติ ศิลวัฒนาวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สโตนเฮ้นจ์ อินเตอร์ จำกัด (มหาชน) (STI) ผู้นำในธุรกิจที่ปรึกษาบริหารและควบคุมงานก่อสร้าง และให้บริการออกแบบงานด้านสถาปัตยกรรมและวิศวกรรม เปิดเผยว่า บริษัท สโตนเฮ้นจ์ อินเตอร์ เวนเจอร์ จำกัด (STV) ซึ่งเป็นบริษัทย่อย ได้ประกาศเข้าลงทุนซื้อหุ้นสามัญของบริษัท เอเชี่ยน เอ็นจิเนียริ่ง คอนซัลแต้นส์ จำกัด (AEC) เมื่อวันที่ 10 มีนาคม 2563 ที่ผ่านมา จำนวน 344,250 หุ้น หรือคิดเป็น 63.75% ของหุ้นที่ออกและจำหน่ายแล้วทั้งหมดของ AEC ในราคาหุ้นละ 799 บาท คิดเป็นมูลค่าทั้งสิ้น 275.06 ล้านบาท และการเข้าทำรายการดังกล่าวแล้วเสร็จเมื่อวันที่ 30 เมษายน 2563
ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับหลังจากนี้ สนับสนุนให้ STI สามารถรับรู้รายได้และผลการดำเนินงานของบริษัท เอเชี่ยน เอ็นจิเนียริ่ง คอนซัลแต้นส์ เข้ามาทันทีในเดือนพฤษภาคมเป็นต้นไป ซึ่งส่งผลดีต่อผลการดำเนินงานของบริษัทฯ ตั้งแต่ไตรมาส 2/2563 ให้เติบโตได้อย่างก้าวกระโดด และเพิ่มโอกาสในการขยายพอร์ตไปสู่งานโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure) เนื่องจากบริษัท เอเชี่ยน เอ็นจิเนียริ่ง คอนซัลแต้นส์ เป็นบริษัทที่ปรึกษาด้านวิศวกรรมชั้นนำ 1 ใน 4 ของไทยที่มีงานภาครัฐต่อเนื่อง
ทั้งนี้ STI ปรับประมาณการณ์เป้าหมายผลการดำเนินงานให้สอดรับกับปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่งขึ้น โดยตั้งเป้าหมายรายได้ปี 2563 เป็นเติบโต 80% จากเดิมตั้งเป้าหมายปี 2563 รายได้เติบโต 10% เมื่อเทียบกับปี 2562 STI มีรายได้จากการให้บริการกว่า 712 ล้านบาท กำไรสุทธิ 85.5 ล้านบาท ขณะที่งานในมือที่รอรับรู้เป็นรายได้ (Backlog) ปัจจุบันมีรวมกันอยู่ที่ 4,500 ล้านบาท และมีโอกาสต่อยอดขยายงานร่วมกันในอนาคต